แบบจำลองระบบการสื่อสารด้วยแสงที่มองเห็น (A
visible light communication system model) รูปแบบจำลองพื้นฐานของระบบการสื่อสารด้วยแสงที่มองเห็นโดยการใช้แสงจากหลอดแอลอีดีสีขาวนี้ได้ถูกนำเสนอครั้งแรกโดย
T. Komine และ M. Nakagawa ในงานวิจัยฉบับนี้จำลองระบบใช้ตามภาพที่
4 ส่วนที่สำคัญคือการมอดูเลทแบบจำกัดแบนด์วิดธ์ที่เป็นอัตราการส่งข้อมูล
ข้อมูลที่ผ่านการมอดูเลทถูกนำมาคูณประสานกับสัญญาณผลตอบสนองของแอลอีดีและคูณอีกทีกับ
ผลตอบสนองช่องสัญญาณ สัญญาณที่ได้จากจุดนี้เป็นสัญญาณที่เกิดในช่องสัญญาณแบบไร้สายด้วยแสงแอลอีดีโดยการจำลองขึ้น
ได้ศึกษาค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ๆ สำหรับการปรับแต่งสัญญาณ
หรือเทคนิคของอีควอไลเซอร์ในการพัฒนาในงานวิจัยนี้ด้วยตาม ลักษณะของพื้นที่ที่ได้จำลองไว้ภาพที่
5 เป็นการจำลองระบบภายในห้อง
แสงของแอลอีดีถูกส่งลงมาจากเพดาน (Ceiling) ด้านบน มายังตัวรับแสงด้านล่าง
พื้นที่ของห้องกำหนดด้วยความกว้าง W ความยาว L และความสูง H
ภาพที่ 4: ไดอะแกรมระบบสื่อสารข้อมูลด้วยแสงที่มองเห็น
ภาพที่ 5: การแพร่กระจายแสงจากส่งมายังตัวรับภายในห้อง
ภาคส่ง (Transmitter) สำหรับตัวส่งจะสมมติให้แอลอีดีมีการแพร่ความเข้มแสงเป็นแบบแลมเบอร์เซียน
(Lambertian radiant intensity) ตามสมการที่ (1)
เมื่อ m คือเลขลำดับการแพร่ของแสงแบบแลมเบอร์เซียน
และมีความสัมพันธ์กับมุม f1/2 เป็นส่วนหนึ่งของมุมของตัวส่ง (ที่ครึ่งหนึ่งของกำลังงานทั้งหมด)
ซึ่ง m= -ln2/ln cos( f1/2 ) กำลังงานที่แผ่กระจายของแสงแอลอีดีคือ PLED f คือมุมที่แสง แพร่ออกมาจากตัวส่ง (irradiance angle) y คือมุมที่แสงตกกระทบกับโฟโตไดโอด
(incidence angle) ดังนั้นกำลังงานที่ถูก ส่งออกมาหาได้จาก Ptx =PLED*Ro(f) ลำแสงที่แพร่ออกมาจากแอลอีดีไปยังตัวรับโดยหลักๆ
จะมีอยู่ 2 ช่องทางคือแสงที่แพร่ไป หาตัวรับโดยตรง (light
of sight: LOS) กับแสงแพร่มาจากการสะท้อน (diffuse channels)
ทั้งสองช่องสัญญาณนี้จะได้อธิบายใน ลำดับต่อไป 1) ช่องสัญญาณแบบโดยตรง (light of sight) ขนาดของกระแสโดยตรง
(direct current DC gain) จะหาได้โดยถูกต้อง และแม่นยำจะต้องทำการพิจารณาในส่วนเฉพาะช่องสัญญาณที่เป็นแสงของการแพร่ที่มาจากช่องสัญญาณโดยตรงเท่านั้น
ซึ่งใน สมการที่ (2) แสดงช่องสัญญาณแบบโดยตรง เมื่อ Arx คือพื้นที่ของตัวตรวจจับ d คือระยะทางระหว่างตัวส่งและตัวรับ


ก) การแพร่กระจายความเข้มแสง ข) ตำแหน่งแอลอีดี
ภาพที่ 6: จำลองการแพร่กระจายความเข้มแสงภายในห้อง
Ro(f) คือความเข้มแสงที่ส่งมาจากตัวส่งที่มุม f หาได้จากสมการที่
(1) y คือมุมที่แสงตกกระทบกับโฟโตไดโอด yc คือมุม ทั้งหมดที่โฟโตไดโอดสามารถรับแสงได้ (field of view: FOV)
ตัวรับจะถูกสมมติให้เป็นส่วนเล็กๆ ถ้าคิดจากพื้นผิวของห้อง ดังนั้น Pdiff
คือกำลังงานที่ตัวรับรับได้จากช่องสัญญาณแบบ แพร่กระจายนี้หาได้จากสมการที่
(3)
Pdiff =
ArxI
และ Arxคือพื้นที่ของตัวรับ ที่ตัวรับแสงที่ส่งมาจะผ่านตัวกรองแสง
(optical filter) และหัวเลนส์ (concentrator lens) ถึงจะได้พลังงานที่แท้ หาได้จากสมการ ที่ (4)
เมื่อ Tf (y ) คือสัมประสิทธิ์การตัวส่งผ่านของตัวกรองแสง
และ g(y ) คือสัมประสิทธิ์การเพิ่มของหัวเลนส์
หน้าที่ของโฟโตไดโอดใช้เป็นตัวเปลี่ยนกำลังงานแสงที่รับได้เป็นกระแสไฟฟ้า
และกระแสเอาต์พุตหาได้จากสมการที่ (5)
i = Prx*R
เมื่อ R คือความไวของการตอบสนองของโฟโตไดโอด (มีหน่วยเป็น A/W)
อัตราสัญญาณต่อสัญญาณรบกวน
(SNR) คำนวณได้จากสมการที่ (6)
ซึ่ง s2total คือความแปรปรวนสัญญาณรบกวนทั้งหมด และคำนวณหาได้จากสมการที่ (7)
s2total = s2shot
+ s2amplifier
เมื่อ s2shot
คือความแปรปรวนสัญญาณรบกวนแบบสั้น (shot-noise) คำนวนหาได้จากสมการที่ (8)
เมื่อ s2shot
คือความแปรปรวนสัญญาณรบกวนแบบสั้น (shot-noise) คำนวนหาได้จากสมการที่ (8)
s2shot =2qR(Prx+Pn)Bn
เมื่อ Bn คือแบนด์วิดธ์ของสัญญาณรบกวน และ Pn
คือกำลังงานของสัญญาณรบกวนที่เป็นแสงที่อยู่รอบๆ
Bn = I2Rb
เมื่อ Rb คือ อัตราข้อมูล
และ I2 คือตัวคูณแบนด์วิดท์สัญญาณรบกวน
ตัวขยายความแปรปรวนสัญญาณรบกวนกำหนดตามสมการที่
(9)
s2amplifier = I2 amplifierBa
เมื่อ Baคืออัตราขยายแบนด์วิดท์
ดังนั้นสัญญาณรบกวนทั้งหมดจะเป็นไปตามสมการที่
(10)
SNR (dB) จะเป็นฟังก์ชันของตำแหน่งตัวรับ ค่า SNR
ภายในห้องมีค่าสูงเพราะว่าแอลอีดีทุกตัวจะส่งข้อมูลตัวเดียวกัน และกำลังงาน
ทั้งหมดที่รับได้มีค่ามาก ที่ SNR (15.6 dB) ต้องมีค่า BER
ที่ 10-6 ที่ค่า SNR ที่เลวร้ายสุดๆ อยู่ที่ประมาณ 69 dB ซึ่งถ้ามากกว่า นี้ระบบจะแสดงได้โดยไม่จำกัด
SNR