วิวัฒนาการความสว่างของหลอดแอลอีดี (Innovation
Illuminance of LED) หลอดแอลอีดีหรือ LED ย่อมาจาก
Light Emitting Diodes [3] เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำชนิดเดียวกันกับไดโอด
เมื่อทำการจ่าย แรงดันไฟฟ้าแบบไบอัสตรงจะทำให้แอลอีดีเปล่งแสงออกมา
แสงจากหลอดแอลอีดีจะมีสเปคตรัมตั้งแต่ที่ความถี่ 400 เทราเฮิร์ต
ถึง 800 เทราเฮิร์ต (หรือเป็นความยาวคลื่นที่ 380 นาโนเมตร ถึง 780 นาโนเมตร) ดังแสดงในภาพที่ 2
ปรากฏการณ์นี้อยู่ในรูปของ electroluminescence สีของแสงที่เปล่งออกมานั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของวัสดุกึ่งตัวนำที่ใช้
และเปล่งแสงได้ใกล้ช่วงอัลตราไวโอเลต ช่วงแสงที่มองเห็น และช่วงอินฟราเรด
ผู้พัฒนาไดโอดเปล่งแสงขึ้นเป็นคนแรก คือ นิก โฮโลยัก (Nick Holonyak Jr.) (เกิด ค.ศ. 1928) แห่งบริษัทเจเนรัล อิเล็กทริก (General
Electric Company) โดยได้พัฒนาไดโอดเปล่งแสงในช่วงแสงที่ มองเห็น
และสามารถใช้งานได้ในเชิงปฏิบัติเป็นครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1962 ภาพที่ 3 เป็นการเปรียบเทียบเทคโนโลยีของแอลอีดีในช่วง
ค.ศ. 2003 ถึง ค.ศ. 2015 แสดงให้เห็นว่าราคาจะถูกลงเรื่อยๆ
ในขณะที่แอลอีดีให้ความสว่างเพิ่มสูงขึ้น
และที่ความสว่างสูงขึ้นแต่กลับใช้พลังงานที่น้อยลง เปรียบเทียบกับหลอดชนิดอื่นๆ อาทิเช่น
หลอดฟูออกเรสเซนต์หลอดฮาโลเจน หลอดอินแคนเดสเซนต์หรือหลอดไส้ และหลอดเอซไอดี
จากภาพที่ 3 คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2015 หลอดแอลอีดีถูกนำมาแทนหลอดไฟที่ให้แสงสว่างทั่วๆไป
ที่ความสว่างเท่ากันหลอดแอลอีดีใช้พลังงานน้อยที่สุด ซึ่งจะใช้พลังงานเพียงครึ่งหนึ่งของหลอดตะเกียบแบบประหยัดไฟ
ข้อดีอีกมากของหลอดแอลอีดีคือ ใช้พลังงานน้อยเพื่อช่วยลด ภาวะโลกร้อนได้ ไม่มีรังสียูวี
และมีความร้อนต่ำ มีอายุการใช้งานนานกว่า 50,000 ชั่วโมง หรือประมาณ
6 ถึง 12 ปี มีสีให้เลือก มากมาย
ถ้าเป็นแบบให้แสงสว่างธรรมดาก็เป็นสีขาว (white LED) รองรับแรงดันช่วงกว้าง
ภาพที่ 2: สเปกตรัมแสงที่มองเห็น (Visible spectrum)
ภาพที่3: วิวัฒนาการเทคโนโลยีแอลอีดี